ขึ้นชื่อว่าริ้วรอย ร่องลึก ไม่ว่าใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเอง เพราะนั่นแสดงถึงการมีอายุ และ ทำให้ดูแก่นั่นเอง แต่ไม่ว่าเราจะไม่อยากมีริ้วรอยขนาดไหน แรงโน้มถ่วงของโลกก็ดูจะไม่เข้าใจ ทำให้ไม่ว่าอย่างไรเราก็หนีไม่พ้นปัญหานี้อยู่ดี ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้ที่จะรับมือ หรือ เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้จะยังไม่มีปัญหาริ้วรอยในเวลานี้ก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่กำลังมีปัญหานี้อยู่ก็ไม่ควรต้องกังวลมากไป เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีการแพทย์ด้านความสวยความงามก้าวล้ำไปอย่างมาก จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้วัยทองอายุ 50 ปี ใบหน้าดูอ่อนเยาว์จนแลดูเหมือน 30 ปีต้น ๆ ได้ ซึ่งเทคโนโลยีที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ก็คือการฉีดฟิลเลอร์ นั่นเอง
การฉีดฟิลเลอร์เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ และ คงอยู่ได้นานนับปี แม้การฉีดฟิลเลอร์จะประยุกต์ใช้ได้หลากหลายแบบ แต่ในบทความนี้เราจะเจาะลึกไปที่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สำหรับแก้ปัญหายอดฮิตนั่นก็คือริ้วรอยรอบดวงตา ที่มักจะเป็นจุดสังเกตแรก ๆ ที่ผู้คนจะสังเกตเห็นและตัดสินว่าเรามีอายุหรือไม่
ฟิลเลอร์คืออะไร
ฟิลเลอร์ (Filler) คือ เทคโนโลยีในการเติมเต็มที่มาจากสาร Hyaluronic Acid หรือ HA ซึ่งเป็นโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นเองได้ พบมากที่บริเวณผิวหนังและกระดูกอ่อน และด้วยความสามารถในการเติมเต็มจึงถูกนำมาใช้ด้านความสวยความงามอย่างการเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ ช่วยทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ไม่ว่าจะเป็นการเติมร่องแก้ม หน้าผาก หรือ รอบดวงตา ซึ่งบางที่ก็นำไปประยุกต์ใช้ในการปรับรูปหน้าด้วยเช่นกัน
ฟิลเลอร์มี 3 ชนิด
ชนิดที่ 1 ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler)
ฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราวมักจะเป็นชนิดที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับรูปแบบที่ผลิตได้เองตามธรรมชาติของผิวหนังมนุษย์ ซึ่งจะไม่ค่อยมีผลข้างเคียง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือ มีความเสี่ยงเกิดการแพ้น้อย มีความปลอดภัยสูงกว่าชนิดอื่น ระยะเวลาหลังฉีดจะอยู่ได้ 4-6 เดือน จากนั้นจะสลายไปเองตามธรรมชาติ
ชนิดที่ 2 ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
ฟิลเลอร์ชนิดนี้ส่วนมากจะใช้สารสังเคราะห์ประเภทสาร PMMA (Polymethyl-methacrylate) และ สารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyakylimide) สารเหล่านี้สามารถเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์ ก่อให้เกิดอาการแพ้น้อย มีความปลอดภัยระดับปานกลาง มีอายุอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
ชนิดที่ 3 ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler)
ฟิลเลอร์ชนิดสุดท้ายนี้ มักจะใช้สารประกอบที่เป็นซิลิโคนเหลว หรือ น้ำมันพาราฟิน เป็นฟิลเลอร์โบราณที่ฉีดแล้วฉีดเลย ไม่สามารถสลายตัวเองตามธรรมชาติ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว เนื่องจากผลข้างเคียงสูง การแพ้มักจะเกิดอาการรุนแรง โดยรุนแรงถึงขนาดเปลี่ยนรูปร่างของผิวหนังบริเวณที่ฉีดเข้าไปได้เลย
ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีมาตรฐานรับรองในประเทศไทย ได้แก่ Restylane, Juvederm, Belotero, Perfectha และ Neuramis
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร
อย่างที่กล่าวไปว่าในบทความนี้เราจะโฟกัสไปที่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ มักจะเป็นปัญหาของใครหลาย ๆ คน ที่เริ่มมีปัญหาเหล่านี้ เช่น คนที่เริ่มมีอายุ มีริ้วรอยรอบดวงตา มีปัญหาใต้ตาคล้ำสะสม หน้าตาดูไม่สดใส ดูเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีการฉีดฟิลเลอร์ที่จะเข้าไปเติมเต็มในส่วนที่บกพร่อง
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้เวลารักษานานไหม
โดยเฉลี่ยการรักษาโดยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ซึ่งจะมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากรอบดวงตาเป็นจุดรวมเส้นประสาทมากมาย มีความบอบบางมาก จึงสำคัญมาก ๆ ที่แพทย์ที่จะทำการรักษาต้องมีความรู้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และ ส่วนอื่น ๆ รอบดวงตาเข้าขั้นเชี่ยวชาญ เพราะหากฉีดลึกไปหรือฉีดผิดจุดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงถึงขั้นทำให้ตาบอดได้ แต่ถ้าหากฉีดตื้นไปก็จะไม่เห็นผล
ข้อแนะนำในการเลือกฟิลเลอร์ที่จะใช้ฉีดเข้าใต้ตาควรใช้เป็นแบบ HA ที่สลายไปเองได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากผลข้างเคียงน้อย เหมาะสำหรับบริเวณละเอียดอ่อนอย่างรอบดวงตาที่สุด
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การรักษาโดยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการเติมร่องริ้วรอยแบบที่รวดเร็วที่สุด ใช้เวลาการรักษาน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังรักษาสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เลย และ ยังทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สดใส ดวงตาดูเป็นมิตรมากขึ้นอีกด้วย
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- หากเลือกใช้ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ผ่านการรับรอง จะมีความเสี่ยงในการแพ้สารแปลกปลอม และ อาจติดเชื้อได้ ในกรณีที่รุนแรงที่สุดอาจทำให้ตาบอด
- หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ หรือ สถานพยาบาลที่ไม่น่าเชื่อถือ จะมีความอันตรายอย่างมาก เนื่องจากรอบดวงตามีเส้นประสาทร่างแหมากมาย อาจทำให้เกิดการตาบอด หรือ ติดเชื้อได้
ข้อควรหลีกเลี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ไม่ควรใช้ฟิลเลอร์แบบถาวร หรือ มีส่วนผสมของน้ำมันพาราฟิน เพราะไม่สามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ และ มีผลข้างเคียงสูง เช่น การจับตัวเป็นก้อน เกิดพังผืด ผิวหนังผิดรูปร่าง ซึ่งจะทำการรักษาแก้ไขในภายหลังลำบาก
- ห้ามฉีดฟิลเลอร์ในสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ห้ามฉีดฟิลเลอร์ในผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก
วิธีดูแลตนเองก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ห้ามรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดที่ออกฤทธิ์ทำให้เลือดหยุดไหลช้า เช่น แอสไพริน (Aspirin) วิตามินอี สารสกัดใบแปะก๊วย
- แจ้งประวัติการแพ้ยาทุกครั้งก่อนรับการรักษา
- ตรวจสอบยี่ห้อ และ ใบรับรองของฟิลเลอร์ที่จะใช้ ก่อนการรักษา โดยใช้ Lot Serial No. ตรวจสอบกับเว็บไซต์ผู้ผลิต
วิธีดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- หากมีอาการบวมแดงไม่ต้องตกใจเนื่องจากอาการนี้พบได้มาก และ จะหายไปเองได้ภายใน 2-3 วัน
- หลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้วควรงดทานยากลุ่มแอสไพริน หรือ ยาแก้ปวดข้อบางชนิด 2 วัน หลังจากการรักษา
- ไม่ควรนอนราบหลังจากรักษาภายใน 3-4 ชั่วโมง
- ห้ามแต่งหน้า หรือ ทาครีมบำรุงเป็นระยะเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากการรักษา
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อุณหภูมิสูง หรือ มีความร้อนสูง เช่น การทำเลเซอร์ การอาบน้ำอุ่น การอบไอน้ำ หรือ การใช้ไดร์เป่าผม
- ไม่ถูหน้าแรง ๆ ไม่ขยี้ตา
- ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำมาก ๆ
- ไม่ควรออกกำลังกาย 48 ชั่วโมงหลังจากการรักษา
ค่ารักษาในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ปกติฟิลเลอร์จะคิดราคาจากปริมาณฟิลเลอร์ที่จะฉีด โดยคิดเป็น ซีซี (CC) ราคาประมาณ ซีซี ละ 14,000-18,000 บาท หากพบราคาถูก ๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของปลอม
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน
ฟิลเลอร์นั้นจะไม่เห็นผลในทันที แต่จะเริ่มฟู และ เติมเต็มร่องลึกหลังจากผ่านไปแล้วประมาณ 5 วัน ปกติแล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้ 4-12 เดือน แล้วแต่ชนิดของฟิลเลอร์ และ จะสลายไปเองโดยธรรมชาติ โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บหรือไม่
จะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือไม่เจ็บเลย โดยอาจจะรู้สึกตึง ๆ แทนในช่วง 1-2 วันแรก
เรียกได้ว่าการจะโกงอายุและย้อนวัยนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ และไม่เจ็บตัวเลย สำหรับสาว ๆ ที่กำลังสนใจที่จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในอนาคต ก็สามารถเริ่มเก็บเงินกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ตอนนี้ เพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้ในวันที่ริ้วรอยเริ่มถามหา แต่จริง ๆ แล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งเราสามารถชะลอริ้วรอยที่ต้นเหตุได้ด้วยการไม่ขยี้ หรือ จับรอบ ๆ ดวงตาแรงเกินไป ล้างเครื่องสำอางรอบดวงตาด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ ดื่มน้ำให้มาก ๆ และ พักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงทาครีมบำรุงอย่างเหมาะสมเป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถชะลอริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายแล้ว